ยินดีต้อนรับนักลงทุนออนไลน์ที่สนใจการลงทุนในตลาด Forex ทุกท่านครับ

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

วิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคเบื้องต้นกับ Rebecca

วิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคเบื้องต้นกับ Rebeccaการ วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นการวิคราะห์ภาวะทาง เศรษฐกิจ การเมืองและภาวะอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังศึกษาผลประกอบการ เช่น อัตราการเติบโตในอดีตเพื่อคาดคะเนแนวโน้มในอนาคต

เรียนรู้การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคเบื้องต้นกับ Rebecca สุดสวย



การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน Forex 

 

การ วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นการวิคราะห์ภาวะทาง เศรษฐกิจ การเมืองและภาวะอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังศึกษาผลประกอบการ เช่น อัตราการเติบโตในอดีตเพื่อคาดคะเนแนวโน้มในอนาคต แล้วนำมาประเมินราคา ว่าควรมีราคาเท่าใด เทียบกับราคาในตลาดเป็นอย่างใด ทำให้เราตัดสินใจได้ว่าควรปฏิบัติอย่างไร   ตัวเลขเศรษฐกิจ ที่มีอิทธิพลต่อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างๆ มีดังนี้

1. Non-Farm Employment Change (ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร)

2. Consumer Price (อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภค)

3. Retail Sales (ตัวเลขค้าปลีก)

4. Consumer Confidence (ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค)

5. ISM Manufacturing (ดัชนีวัดการผลิตภาคอุตสาหกรรม)

ผลสรุป ตัวเลขเศรษฐกิจที่ตลาดได้ให้ น้ำหนัก และ มีผลต่อความผันผวนมากที่สุด คือตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการ เกษตร (Non-Farm Employment Change) และ อัตราว่าง งาน (Unemployment rate) โดยพิจารณาจากทั้งความผันผวน ของ VIX Index และ ดัชนีดาวโจนส์

พื้่นฐานการวิเคราะห์ Technical

แผนภูมิแท่งเทียน (Candlesticks Chart)

แผนภูมิแท่งเทียน (Candlesticks Chart) มีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น โดยมีประวัติย้อนหลังยาวนานมากกว่า 200 ปี ผู้คิดค้นคือ MUNEHISA HOMMA ในสมัยก่อนใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มราคา พืชผลทางการเกษตร เช่นราคาซื้อขายข้าว ภายหลังประเทศกลุ่มตะวันตกได้เห็นความมีประสิทธิภาพ จึงได้นำไปใช้วิเคราะห์ตลาดหุ้น ตลาดซื้อขายล่วงหน้า ตลาดออปชัน
เทคนิค forex รูป แบบการแผนภูมิแท่งเทียน ประกอบไปด้วยราคาเปิด ราคาปิด ราคาต่ำสุด และราคาสูงสุด และด้วยความรวดเร็วในการแสดงสัญญาณต่าง ๆ ที่ทำให้การวิเคราะห์ แบบแท่งเทียนนี้เป็นที่นิยมในปัจจุบัน และเหมาะสำหรับนักลงทุนโดยทั่วไป
แท่งเทียน
เทคนิค forex รูปภาพแผนภูมิแท่งเทียน โครง สร้างของแท่งเทียนนั้น ประกอบไปด้วยราคาเปิด ปิด สูงสุด และต่ำสุด แท่งตรงกลางเรียกว่า แท่งเทียน (REAL BODY) ไส้เทียนทางบนเรียกว่า UPPER SHADOW และไส้เทียนทางล่าง เรียกว่า LOWER SHADOW เทคนิค forex ใน กรณีที่ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด แท่งเทียง จะเป็นสีขาว หรือสีเขียว เรียกว่า White Candlestick แสดงถึงแนวโน้มที่ดี (ราคาปรับตัวขึ้น) ในทางกลับกันในกรณีที่ ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด แท่งเทียงจะเป็นสีดำ หรือ สีแดง เรียกว่า Black Candlestick แสดงถึงแนวโน้มที่ไม่ดี (ราคาปรับตัวลง) ส่วนในกรณีที่ราคาปิด เท่ากับราคาเปิด โดยราคานั้น จะเป็นจุดสูงสุด หรือต่ำสุดหรือไม่ก็ตาม แท่งเทียนจะมีลักษณะเป็นเส้นขีดขวาง เรียกว่า Dojilestick แสดงลักษณะเป็นกลาง (มีแรงซื้อ แรงขายที่เท่ากัน) ในกรณีที่เกิดขึ้นในช่วงขาขึ้น อาจแสดงถึงจุดกลับตัวเป็นขาลง หรือในกรณีที่เกิดขึ้นในช่วงขาลง อาจแสดงถึงจุดกลับตัวเป็นขาขึ้นได้

แผนภูมิแบบเส้น (Line Chart)

แผนภูมิแบบเส้น (Line Chart) เป็นกราฟที่นำราคาปิดของหุ้นมาลากต่อเนื่องกันโดยไม่ใช้ ราคาเปิด, ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุดมาแสดงเลย
เทคนิค forex line chart เนื่อง จากความเรียบง่าย ที่แสดงเพียงแค่ราคาปิดเท่านั้น ทำให้เราสามารถทำความเข้าใจกราฟ และเห็นแนวโน้ม และการเคลื่อนไหวของราคา จากแผนภูมิแบบเส้นได้ง่าย แผนภูมิแบบเส้นจึงเป็นที่นิยมในการนำเสนอ การเคลื่อนไหวของราคาต่าง ๆ แต่อย่างไรก็ตามการที่แผนภูมิแบบเส้น ไม่แสดงราคา ต่ำสุด สูงสุด และราคาเปิด ซึ่งเป็นการตัดข้อมูลบางส่วนออกไป จึงทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ไม่นิยมนำแผนภูมิแบบเส้นมาใช้ในการวิเคราะห์ หาแนวโน้มราคา แต่ใช้ แผนภูมิแบบแท่ง หรือ แผนภูมิแท่งเทียน ซึ่งแสดงข้อมูลราคา ต่ำสุด สูงสุด ราคาเปิด และราคาปิด ครบทั้งหมด เทคนิค forex
bar chart candle chart
รูปภาพแผนภูมิแบบแท่ง รูปภาพแผนภูมิแบบแท่งเทียน

แผนภูมิแบบแท่ง (Bar Chart)

แผนภูมิแบบแท่ง (Bar Chart) เป็นกราฟที่แสดงการเคลื่อนไหวของระดับราคาหุ้น มีลักษณะเป็นแท่งแนวตั้ง ภายในแท่ง แสดงราคาปิด ราคาเปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุดของหุ้น
เทคนิค forex bar chart รูปภาพแผนภูมิแบบแท่ง ราคา เปิดใช้แทนด้วยเส้นขวางไปทางซ้าย ส่วนราคาปิดแทนด้วยเส้นขวางไปทางขวา จุดสูงสุด และต่ำสุดของแท่งคือราคาสูงสุด และต่ำสุด ตามลำดับ

 บทความที่น่าสนใจ

ตารางเวลาเปิด-ปิดตลาด ของแต่ละโซน




ช่วงวันที่ 24 ธค - 1 มค เข้าสู่เทศกาลคริสมาสตลาดจะปิดทำการแต่ยังไงก็ให้ติดตามการประกาศหยุดของโบรกเกอร์อีกทีนะครับ
       ตลาด ของแต่ละโซนจะเปิด-ปิด คาบเกี่ยวกันตลอดทั้งวัน ทำให้เราสามารถเทรดได้ 24 ช.ม. แต่ช่วงที่เหมาะแก่การเทรดคือช่วง ตลาดยูโร (EUR) เปิด ถึง หลังตลาดอเมริกา (USD) เปิด 4-5 ชม. คือแถบสีแดงด้านบน ประมาณเวลา 13.00 - 24.00 ตามเวลาไทย ปกติจะเป็นช่วงที่ตลาดผันผวน ราคามีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าช่วงอื่น
http://lenhune.blogspot.com/2013/08/blog-post.htmlhttp://lenhune.blogspot.com/2013/08/blog-post.html
http://lenhune.blogspot.com/2013/08/blog-post.html

กำไรจากตลาด Forex ทำอย่างไร

กำไรจากตลาด Forex ทำอย่างไร
หลายท่านอาจจะเคยเล่นหุ้น มาบ้าง หลักการทำกำไรหลักๆ ก็จะคล้ายกันที่ว่า ซื้อถูก-ขายแพง(พูดง่ายแต่ทำจริงๆ ไม่ง่ายเลย) ในการซื้อ-ขายหุ้นจะซื้อ-ขายเป็นตัวๆ ไป แต่ในตลาด Forex จะต่างจากหุ้น

กำไรจากตลาด Forex ทำอย่างไร
หลายท่านอาจจะเคยเล่นหุ้น มาบ้าง หลักการทำกำไรหลักๆ ก็จะคล้ายกันที่ว่า ซื้อถูก-ขายแพง(พูดง่ายแต่ทำจริงๆ ไม่ง่ายเลย) ในการซื้อ-ขายหุ้นจะซื้อ-ขายเป็นตัวๆ ไป แต่ในตลาด Forex จะต่างจากหุ้น ตรงที่ เราจะดูกันเป็น “คู่” ซื้อเงินสกุลหนึ่ง ในขณะเดียวกัน ก็ขายเงินอีกสกุลหนึ่งออกไป หรือเป็นการจับคู่แลกเปลี่ยน ซื้อขายค่าสกุลเงิน กำไรก็จะได้มาจากส่วนต่างจากการขายในแต่ละครั้งครับ

ยก ตัวอย่างเช่น EUR/USD คือการเปรียบเทียบระหว่างเงินยูโรของสหภาพยุโรป กับเงินดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินด้านซ้ายเราเรียกว่า base currency โดยเรามักจะเห็นราคา ซื้อ-ขาย แบบข้างล่างครับ

EUR/USD bid= 1.3500 offer= 1.3502


ถ้าเราสั่ง ซื้อ (เรียกว่า Buy หรือ Long) ในตอนที่เราเปิด order (เปิด order BUY) เราจะได้ราคาที่ offer และเมื่อเราสั่งปิด order นี้ เราจะได้ราคาที่ bid ตัวอย่างเช่น ณ เวลาที่เราเข้า Buy คู่ EUR/USD ราคา offer อยู่ที่ 1.3502 ถ้าเราปิด (close) ทันที เราจะ sell คืนไปที่ราคา bid 1.3500 เท่ากับเราขาดทุนทันที 0.0002 หรือ 2 จุด หรือ pip (ทุกครั้งที่เราเปิดการเทรด เราจะติดลบก่อนเสมอ ในความเป็นจริงคงไม่มีใครซื้อแล้วขายเลยแบบนี้)

เราจะทำกำไรด้วยการ buy ที่ราคา offer ซึ่งก็คือซื้อมาถือไว้ เพื่อรออัตราแลกเปลี่ยนที่สูงขึ้น ก็คือรอให้ค่า bid สูงกว่าค่า offer ที่เราเปิด buy ไว้ และเราจะปิด order นี้ โดยการ sell คืน (การสั่ง close order จะเป็นการ sell อัตโนมัติ - ไม่ใช่ให้เราเปิด order sell อีกอัน) ไปในราคาที่สูงกว่า (ถ้า sell คืนในราคาต่ำกว่า เราก็ขาดทุน) เรียกว่า ซื้อถูก ขายแพง

ข้อดีอีกข้อของตลาด Forex คือ เราสามารถเทรดขาลงได้ด้วย

เมื่อ เราสั่ง ขาย (เรียกว่า Sell หรือ Short) ในตอนที่เราเปิด order (เปิด order SELL) เราจะได้ราคาที่ bid และเมื่อเราสั่งปิด order นี้ เราจะได้ราคาที่ offer - การ Sell คือการที่เราสั่งโบรกให้ขายออกไปก่อน เพื่อรออัตราแลกเปลี่ยนตกลงมา และเราจะปิด order นี้ โดยการ Buy คืน (การสั่ง close order จะเป็นการ buy อัตโนมัติครับ - ไม่ใช่ให้เราเปิด order buy อีกอัน) ไปในราคาที่ต่ำกว่า (ถ้า Buy คืนในราคาสูงกว่า เราก็ขาดทุน) เรียกว่า ขายแพง แล้วซื้อถูก

แต่จะเห็นว่า เราดู จุด หรือ pip กันที่ ทศนิยมตำแหน่งที่ 4 (หรือตำแหน่งที่ 2 ในบางคู่) เราลองมาดู EUR/USD กัน

สมมุติ ว่า เราพิจารณาแล้ว เราเห็นว่า EUR น่าจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ USD (คือ EUR จะแลก USD ได้มากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป) เราจึงทำการเข้า buy โดยที่เราได้ราคา ที่ 1.3502 (จำได้มั๊ยครับว่าเราจะได้ราคา offer นั่นแปลว่าเมื่อเทียบกับ bid เราจะ -2 นี่คืนส่วนของค่าคอมมิทชั่นของโบรกเกอร์ครับ)

เมื่อเวลาผ่านไป ราคาวิ่งขึ้นไป ที่ 1.3552 หรือขึ้นมา 50 จุด แล้วเราเห็นว่าอาจจะไปต่อไม่ไหว จึงปิดทำกำไรที่ จุดนี้ เราจะได้กำไรมา 50 จุด หรือ 50 pips หรือ 0.0050 หน่วยใน base currency ซึ่งในที่นี้คือ 0.0050 USD

น้อยมากใช่ไหมครับ 0.0050 USD = ครึ่งเซ็นต์ หรือประมาณ 17 สตางค์ เท่านั้น นั่นแปลว่าหากเราอยากทำกำไรเยอะๆ เช่น pip ละ $1 (50 pip ก็คือ $50) เราต้องสั่งเทรดถึง $10,000 เลยทีเดียว เป็นเงินที่ไม่น้อยเลย

แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ


เดี๋ยวเรามาดูกันต่อในหัวข้อ Leverage นะครับ ว่าทำไมการมี Leverage ช่วยให้เราทำเงินเยอะ จากการลงทุนที่น้อยกว่าได้อย่างไร
ทุนน้อยแล้วจะลงทุนใน Forex อย่างไร? Leverage คืออะไร
Leverage คืออะไร?

จำ ได้มั๊ยครับว่าจากบทความที่แล้ว จากที่เราสั่งซื้อด้วยเงินเพียง $1 ของเราเอง กำไรมันน้อยนิดมาก ขนาด +50 จุดยังทำเงินได้ 17 สตางค์เอง หากเราอยากทำกำไรเยอะๆ เช่น pip ละ $1 (50 pip ก็คือ $50) เราต้องสั่งเทรดถึง $10,000 เลยทีเดียว มีทุนไม่พอแน่ ทำไงดี ตรงนี้แหล่ะครับที่ Leverage เข้ามามีผล Leverage มีผลกับการ เทรด Forex อย่างไร เรามาดูกัน



Leverage 1:100 แปลว่า เราใช้ทุนของเราเองเพียง 1 เพื่อสั่งซื้อ-ขาย 100 เช่น เราจะสั่งซื้อ EUR มาถือไว้ โดยจะซื้อที่ราคา 1.3502 จำนวน 100 USD (คือได้มา 74.0631 EUR) เราไม่ต้องใช้ 100 USD ครับ เราจะใช้เพียง 1 USD เพื่อแลก 74.0631 EUR มาถือไว้ ซึ่งเมื่อเราขายคืนไปที่ 1.3552 หรือกำไรมา 0.0050 แทนที่เราจะกำไรแค่ นั้น จะกลายเป็นว่าเราจะทำกำไรได้ 0.50 usd แปลว่าเราสามารถทำกำไรได้ 50% จากเงินที่เราลง (เราลงเพียง $1 เพื่อทำกำไร $0.50)

แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ว่าเราจะมีเงินพอรึเปล่า เวลามี Leverage แบบนี้ เพราะเวลาเทรดเราจะสั่งเทรดอย่างมาก ไม่เกิน 40% ของทุน (แต่แนะนำที่ 10% ครับ จะได้มีเหลือไว้แก้ตัว) เช่นถ้าเรามีทุน $100 เราก็สั่งเทรดเพียง $10 หรือ 10% (แต่เวลาสั่ง $10 คือ 1,000 unit นะครับ ที่ Leverage 1:100) 10% ที่ใช้ เราจะเรียกว่า used margin เวลาราคาวิ่งขึ้นหรือลง มันจะมาบวก หรือ ลบ ที่ 90% ที่เหลือ หรือที่เรียกว่า available margin หากเราติดลบไปเรื่อยๆ จน available หมด ระบบจะทำการตัดขาดทุน โดยการปิด order นี้ โดยอัตโนมัติ นั่นคือ โบรกเกอร์จะไม่ยอมขาดทุนแทนเราหรอกครับ

คิดคร่าวๆ คือ เราจะทำกำไร (ขาดทุน) ได้ ประมาณ 1% ต่อ pip จากเงินทุนของเรา (คู่อื่นอาจจะไม่ถึง 1% บางคู่ก็มากกว่า เช่น EUR/GBP ตกประมาณ 2% ครับ)

นั่นหมายความว่า ด้วยทุนเพียง $100 (3,400 บาท) คุณจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $1 (สั่งเทรด 10,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $10 หรือ 340 บาท (โดยประมาณ) หรือวันละ 10%

และด้วยทุนเพียง $1,000 (34,000 บาท) เราจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $10 (สั่งเทรด 100,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $100 หรือ 3,400 บาท

หรืออาจจะเริ่มเพียง $1 (34 บาท) โดยจะได้จุดละประมาณ 1 เซ็นต์

ค่อยๆ สะสมไปก็ได้ครับ เพราะมีแล้วคนที่ปั้น $5 จากทุนฟรีที่ Marketiva (โบรกเกอร์) มีให้ ไปเป็น $1,000 ใน 3 เดือน

ลอง คิดดูเล่นๆู ล่ะกันครับ ถ้าเพียงคุณสามารถทำกำไรได้ 10% ของทุนต่อวัน เพิ่มไปเรื่อยๆ 6 เดือน (120 วันเทรด) จะเป็นเงินเท่าไหร่ จากทุนเพียง $5

เป็น $463,545.34 หรือ 15,765,541.60 บาท ครับ โอ้ววววว พระเจ้าช่วย (ทำได้แค่ 5% ของไอเดียนี้ก็หรูแล้วครับ)

ปกติ EUR/USD จะไม่แรงมาก ทำวันละ 20-30 จุดได้ หากเป็นบางคู่ เช่น GBP/JYP (ทุกวันนี้ผมเล่น GBP/JYP เป็นหลัก เพราะแรง เร้าใจ) ผมเคยทำได้มากสุด +250 จุด เพียงช่วงเวลาที่ผมหลับ (เที่ยงคืน) จนมาถึงเวลาที่ผมตื่น (7 โมงครึ่ง) หรือ 250% ของเงินทุนที่ผมเทรด

ที่ 
EXNESS (โบรกเกอร์) ให้เราสามารถ up Leverage ได้สูงสุดถึง 1:2000 นั่นแปลว่า เราใช้ทุนตัวเองเพียง $200 ในการเทรด 2000,000 unit (หรือ 1 lot จะได้จุดละ $10) เองครับ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Leverage ก็เป็นดาบ 2 คม ที่ทั้งทำให้ รวย-จน ได้ในพริบตา

Leverage และการที่มันวิ่งขึ้นลงทั้งวัน นี่แหล่ะครับ ที่ทำให้ Forex สนุก และเร้าใจ


 บทความที่น่าสนใจ

การใช้เส้นค่าเฉลี่ย หรือ Moving Average

แนะนำวิธีการใช้เส้นค่าเฉลี่ย หรือ Moving Averagนับ เป็นเครื่องมือสำคัญ เครื่องมือหนึ่งในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยมีส่วนช่วยในการมองเห็นถึงแนวโน้มการเคลื่อนที่ของราคาหุ้น รวมถึงจุดที่เปลี่ยนแนวโน้ม เพื่อเป็นสัญญาณซื้อขาย รวมถึงแนวรับแนว

แนะนำวิธีการใช้เส้นค่าเฉลี่ย หรือ Moving Averag

นับ เป็นเครื่องมือสำคัญ เครื่องมือหนึ่งในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยมีส่วนช่วยในการมองเห็นถึงแนวโน้มการเคลื่อนที่ของราคาหุ้น รวมถึงจุดที่เปลี่ยนแนวโน้ม เพื่อเป็นสัญญาณซื้อขาย รวมถึงแนวรับแนวต้าน ของราคาหุ้นในช่วงเวลาต่างๆ
ซึ่ง กลยุทธ์การลงทุนนั้น จะกำหนดเส้นค่าเฉลี่ย ในจำนวนวันที่แตกต่าง กัน ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาการลงทุนของแต่ละบุคคล หรือรอบการเคลื่อนที่ของหุ้นตัวนั้น ว่าการกำหนดด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเท่าใด ที่น่าจะได้ผลตอบแทนสูงที่สุด
โดยเส้นค่าเฉลี่ยที่ใช้กันทั่วไปมีตั้งแต่
  5   วัน   (1 สัปดาห์)  ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
10   วัน  (2 สัปดาห์)   ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
25   วัน  (ประมาณ1 เดือน) ใช้สำหรับการลงทุนระยะค่อนข้างปานกลาง
75   วัน  (ประมาณ1 ไตรมาส) ใช้สำหรับการลงทุนระยะกลาง
200 วัน  (ประเมาณ 1 ปี)  ใช้สำหรับการลงทุนระยะยาว

ซึ่งจำนวนวันเหล่านี้จะเป็นตัวบอกถึงราคาต้นทุนเฉลี่ยของคนที่ถือหุ้นมาแล้วในช่วงระยะเวลา แตกต่างกันเช่น
ปัจจุบัน ราคาหุ้นยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25วัน ดังนั้นจึงบอกได้ว่า มีคนที่ถือหุ้นในช่วง 25วันที่ผ่านมา หรือนักลงทุนระยะกลางที่ยอมถือหุ้นนานกว่า 1 เดือน มีต้นทุนต่ำกว่า ราคาปัจจุบัน  ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้ ยังมองว่าหุ้นเป็นแนวโน้มขาขึ้นตราบที่ราคาหุ้นยังยืน เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25วัน

ดังนั้นการหาสัญญาณ ซื้อหรือขายหุ้นจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

สัญญาณซื้อ คือ Buy ^
  • เมื่อราคาเคลื่อนขึ้น และทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยตามช่วงระยะเวลาต่างๆ เช่น  5วัน, 10 วัน
  • เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น ตัดขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว
     เรียกว่า (Golden cross)
สัญญาณขายคือ Sell v
  • เมื่อราคาเคลื่อนลงและทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยตามฤฤฉช่วงระยะเวลาต่างๆ เช่น  5วัน, 10 วัน
  •  เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น ตัดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว
        เรียกว่า (Dead cross
    )

       ดังในภาพจะเห็นว่า ดัชนี SET index ปรับตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ย  5 วัน (สีเขียว) 10วัน(สีแดง) และ 25วันสีฟ้า นับแต่ต้นเดือนเมษายน หรือ (4/2 จากตารางกราฟ) ซึ่งจะเห็นว่าเกิดแรงขายจากนักลงทุนระยะสั้น บางครั้งเมื่อหุ้นต่ำกว่า เส้นค่าเฉลี่ย 5วัน แต่เมื่อราคาถึงเส้นค่าเฉลี่ย 10วัน หุ้นจะสามารถเด้ง กลับได้หาก นักลงทุนระยะ 10วันยังมองว่า หุ้นยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอยู่ ดังนั้นเมื่อถึงระดับดังกล่าว จะมีแรงซื้อ ซ้ำเพราะราคาหุ้นยังถูกอยู่กว่าราคาในอนาคต    ส่วน นักลงทุนระยะกลาง เช่น 25วัน จะยังคงถือหุ้น ตราบที่ SET index ไม่หลุด 730 จุด ดังที่เห็นในกราฟเป็นต้น
   ซึ่งตัวอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่าบางครั้ง การซื้อขายระยะสั้น ตามสัญญาณ 5 วัน และ 10วันอาจให้ผลตอบแทนน้อยกว่าการถือระยะยาวเป็นรอบ จากการดูเส้นค่าเฉลี่ยที่ยาวขึ้น แต่อย่างไร เส้นค่าเฉลี่ย ไม่มีกำหนดตายตัวว่า ค่าไหนดีที่สุด ขึ้นอยู่กับนิสัยหุ้นตัว นั้น สภาวะตลาดโดยรวม
    ดังนั้นกลยุทธ์การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาการถือครองหุ้น ซึ่งจะเป็นตัวเลือกด้วยการใช้เส้นค่าเฉลี่ยจาก จำนวนวันที่ต่างๆกัน แต่ ความแม่นยำ นั้นอาจขึ้นจากนิสัยของหุ้นตัวนั้น หรือ ผู้ที่ลงทุนในหุ้นตัวนั้นส่วนมาก เขาใช้เส้นค่าเฉลี่ยเท่าไหร และแบบใด
    ส่วนจุดอ่อนของการใช้เส้นค่าเฉลี่ย อาจเกิดขึ้นได้ หากหุ้นในช่วงนั้น เป็นลักษณะ Side way หรือแกว่งตัวในกรอบนานๆ อาจจะทำให้เส้นพันไป มา จึงเกิดทั้งสัญญาณหลอก ให้ ซื้อขาย ได้บ่อย  ก็ได้ ดังนั้น เส้นค่าเฉลี่ยนั้นจะเหมาะสำหรับการวิเคราะห์ในช่วงตลาดที่ มี Trend หรือแนวโน้ม
 ประเภทของเส้นค่าเฉลี่ย
ประเภท ของเส้นค่าเฉลี่ย มีด้วยกันหลายแบบ ซึ่ง ผู้ลงทุนอาจจะใช้ราคา เปิด หรือ ราคาปิด ราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด หรือ ราคาเฉลี่ย มาเป็นตัวกำหนด สำหรับ การหาค่าเฉลี่ยก็ได้ ซึ่ง ส่วนใหญ่ที่ เราใช้อยู่ทั่วไป จะนำราคาปิดของหุ้นในแต่แท่งเทียน มาเป็นข้อมูลสำหรับการคำนวนค่าเฉลี่ย ดังเช่น

การหาเส้นค่าเฉลี่ย แบบธรรมดา (SMA, Simple Moving Average)
เส้นค่าเฉลี่ยแบบธรรมดา มาจากการหาค่าเฉลี่ยราคาหุ้น ในช่วงเวลาที่กำหนด เป็น N วัน
SMA คำนวณมาจาก
SMAt = 1/N(Pt+..........+Pt-N+1)
โดย P = ราคา
       T = วัน t
       N = จำนวนวันในค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

 http://lenhune.blogspot.com/2013/08/blog-post.html

ส่วนการหาเส้นค่าเฉลี่ย แบบ EMA (Exponential Moving Average)
   นั้นเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการหาค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก โดยการให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา และถ่วงน้ำหนักให้ค่าสุดท้ายมีความสำคัญเพิ่มขึ้น

 ซึ่ง วิธีนี้เป็นการพยายามแก้ไขข้อ บกพร่องที่เกิดขึ้นจากวิธี SMA กล่าวคือ EMA นั้น จะถ่วงน้ำหนักโดยให้ความสำคัญกับวันสุดท้ายมากที่สุด และจะเอาค่าทุก ๆ ค่ามาหาค่าเฉลี่ย โดยจะไม่ทิ้งข้อมูลเก่าที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ค่าทุกค่าสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของราคา
หลักการคำนวนคือ ขณะ ที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ตัวอื่น ๆ ให้ความสำคัญต่อคาบเวลา แต่ EMA จะให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่เรียกว่า SMOOTHING FACTOR (SF) หรือ SMOOTHING CONSTANT  โดยที่ SF = 2/(n+1) ซึ่งวิธีการสร้าง EMA มีสูตรการคำนวณคือ
 EMA   =   EMAt-1 + SF(Pt - EMAt-1)
 เมื่อ EMAt  คือ  ค่าของ Exponential Moving Average ณ เวลาปัจจุบัน
 EMAt-1   คือ  ค่าของ Exponential Moving Average ณ คาบเวลาก่อนหน้า
 SF  คือ  ค่าของ Smoothing Factor = 2/(n+1)
 Pt  คือ  ราคาปัจจุบัน
 n คือ  จำนวนวัน

*  หมายเหตุ : การคำนวณค่าเฉลี่ยของวันแรก จะใช้ราคาในวันแรกนั้นเป็น EMA
    ซึ่งทั้ง EMA และ SMA นักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็จะเลือกใช้แบบใด แบบหนึ่ง จากทั้งสองแบบนี้ เพียงแต่ อาจจะขึ้นอยู่กับวิธีการวิเคราะห์
•     โดยการวิเคราะห์ แบบ SMA นั้นจะเห็นได้การเคลื่อนที่ของเส้นค่าเฉลี่ย มักจะช้ากว่า EMA ซึ่งการหาสัญญาณ ซื้อขายจากการตัดของเส้น EMA จะแม่นยำกว่า

•      ส่วนการวิเคราะห์แนวรับแนวต้านจากเส้นค่าเฉลี่ยนั้น SMA จะดีกว่า เนื่องจากเป็นการคำนวน ฐานต้นทุนของนักลงทุนที่แท้จริง จึงทำให้บ่อยครั้ง เป็นแนวรับแนวต้านที่สำคัญ

•     ส่วนหุ้นบางตัวนั้น อาจจะวิเคราะห์ด้วย EMA ดีกว่า SMA หรือ SMA ดีกว่า EMA นั้นขึ้นอยู่กับ ผู้เล่นหุ้นส่วนใหญ่ของตัวนั้น จะใช้ เส้นอะไร ดู เพราะจากมุมมองที่เหมือนกัน จึง ทำให้เกิดสัญญาณ ที่เหมือนกัน จนเป็น ความแม่นยำที่เกิดขึ้นก็เป็นได้


 http://lenhune.blogspot.com/2013/08/blog-post.html


 บทความที่น่าสนใจ
................................................................................................................................................................
เริ่มต้นเล่นหุ้น สอนวิธีการซื้อขายหุ้นออนไลน์(tablet iphone ipad) ตลาดหุ้น วิธีซื้อหุ้น สมัครหุ้นออนไลน์ วิธีการเล่นหุ้น วิธีซื้อหุ้นออนไลน์ เทรดหุ้น เล่นหุ้นออนไลน์ฟรี เวลาเปิดตลาดหุ้นทั่วโลก โอนเงินเข้าธนาคารLibertyReserve เล่นหุ้นระยะสั้น เล่นหุ้นต่างประเทศ ทำกำไรหุ้นต่างประเทศ ขั้นตอนการเล่นหุ้นผ่านเน็ต วิธีซื้อหุ้นออนไลน์ เทรดหุ้น เล่นหุ้นออนไลน์ฟรี เวลาเปิดตลาดหุ้นทั่วโลก โอนเงินเข้าธนาคารLibertyReserve เล่นหุ้นระยะสั้น เล่นหุ้นต่างประเทศ ทำกำไรหุ้นต่างประเทศ วิธีการซื้อขายหุ้นออนไลน์ เวลาเปิดปิดตลาดหุ้นทั่วโลก เทรดหุ้นผ่านเน็ต ขั้นตอนการเล่นหุ้น การซื้อขายหุ้นเบื้องต้น วิธีเล่นหุ้นขั้นพื้นฐาน เริ่มต้นเล่นหุ้น เทคนิคการทำกำไร เล่นห้นอย่างไรให้รวย ตลาดหุ้น เล่นหุ้นต้องมีเงินเท่าไร หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ทองคำ น้ำมัน forex ดาวโจน แนสเด็ก 
ขอบคุณที่มาของข้อมูล   = = =>  http://www.investorchart.com...

การใช้งาน MT4 เบื้องต้น วิธีใช้งานโปรแกรม MetaTrader 4 เบื้องต้น

  โปรแกรม MT4 (MetaTrader 4) เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับการซื้อขายสกุลเงิน ในตลาด Forex ซึ่งได้รับความนิยมสูงสุด นอกจากนี้ตัวโปรแกรมยังถูกพัฒนามาอย่างเหมาะสม ทำให้เป็นโปรแกรมที่มีความสามารถมากมายและใช้งานได้ง่าย


วิธีใช้งานโปรแกรม MetaTrader 4 เบื้องต้น

http://lenhune.blogspot.com/
          โปรแกรม MT4 (MetaTrader 4) เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับการซื้อขายสกุลเงิน ในตลาด Forex ซึ่งได้รับความนิยมสูงสุด นอกจากนี้ตัวโปรแกรมยังถูกพัฒนามาอย่างเหมาะสม ทำให้เป็นโปรแกรมที่มีความสามารถมากมายและใช้งานได้ง่ายอีกด้วย
  
          ข้อดีของ MetaTrader 4
                    - ใช้งานง่ายและมีหน้าตาของโปรแกรมที่ไม่ซับซ้อน (ทำให้ผู้ใช้งานไม่สับสน)
                    - สามารถปรับแต่งมุมมองและใส่กลุ่มสีสำหรับกราฟต่างๆ ได้อย่างอิสระ
                    - สามารถเลือกการแสดงผลกราฟได้ถึง 3 ประเภทหลักคือ Bar Chart, CandleSticks และ Line Chart
                    - เลือกแสดงผลกราฟได้ 9 ช่วงเวลา
                    - รองรับ “อินดิเคเตอร์” ที่มาพร้อมกับโปรแกรมจำนวนมากกว่า 50 รูปแบบ (ช่วยให้นักลงทุนวิเคราะห์ทิศทางราคาได้ง่ายขึ้น)
                    - สามารถเพิ่มอินดิเคเตอร์หลายชนิดได้ในกราฟเดียวกัน
                    - สามารถแสดงผลราคาได้หลายคู่พร้อมกัน
                    - รองรับโปรแกรมเทรดแบบอัตโนมัติ(EA)

VDO การใช้งาน MT4 แบบค่าว ๆ ครับ

    

 บทความที่น่าสนใจ
................................................................................................................................................................
เริ่มต้นเล่นหุ้น สอนวิธีการซื้อขายหุ้นออนไลน์(tablet iphone ipad) ตลาดหุ้น วิธีซื้อหุ้น สมัครหุ้นออนไลน์ วิธีการเล่นหุ้น วิธีซื้อหุ้นออนไลน์ เทรดหุ้น เล่นหุ้นออนไลน์ฟรี เวลาเปิดตลาดหุ้นทั่วโลก โอนเงินเข้าธนาคารLibertyReserve เล่นหุ้นระยะสั้น เล่นหุ้นต่างประเทศ ทำกำไรหุ้นต่างประเทศ ขั้นตอนการเล่นหุ้นผ่านเน็ต วิธีซื้อหุ้นออนไลน์ เทรดหุ้น เล่นหุ้นออนไลน์ฟรี เวลาเปิดตลาดหุ้นทั่วโลก โอนเงินเข้าธนาคารLibertyReserve เล่นหุ้นระยะสั้น เล่นหุ้นต่างประเทศ ทำกำไรหุ้นต่างประเทศ วิธีการซื้อขายหุ้นออนไลน์ เวลาเปิดปิดตลาดหุ้นทั่วโลก เทรดหุ้นผ่านเน็ต ขั้นตอนการเล่นหุ้น การซื้อขายหุ้นเบื้องต้น วิธีเล่นหุ้นขั้นพื้นฐาน เริ่มต้นเล่นหุ้น เทคนิคการทำกำไร เล่นห้นอย่างไรให้รวย ตลาดหุ้น เล่นหุ้นต้องมีเงินเท่าไร หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ทองคำ น้ำมัน forex ดาวโจน แนสเด็ก 

ข้อคิดเตือนใจนักลงทุน

หลักที่สำคัญที่สุด จุดตัดขาดทุน  Cut loss เมื่อรู้ว่าแนวโน้มวิ่งผิดทางCut loss เมื่อไม่เป็นไปตามระบบที่เราวางแผนหลักการมองกราฟทางเทคนิคมองแบบ มีขึ้นและก็มีลง  ขึ้นแล้วลง  ลงแล้วก็ขึ้น
คิดและวางแผนก่อนเริ่มการ ซื้อ-ขา

สมัค Exness คลิก


รวบรวมข้อมูลจากผู้สำเร็จให้แล้ว ที่เหลือ อยู่ที่ตัวคุณเอง
ไม่ยาก และไม่ง่ายเกินไป Forex ไม่ต้องการคนเก่ง
แต่ต้องการคนที่มีความอดทน มีวินัย มีสมาธิ
"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น"

อ่านและทำตามกฏพื้นฐานนี้ให้้ได้เสียก่อนเริ่มต้นเทรด



เริ่มจากภาษาที่ใช้เป็นทางการที่เรียกใน กราฟ  อย่างเป็นทางการ



Market ตลาด       (ควรเรียนรู้ธรรมชาติตลาด ตลาดมีนิสัย มีความรู้สึกและมีอารมณ์ เสมอๆ)

Position sizing  จำนวนการ ซื้อ-ขาย

Entries จุดเข้าซื้อ    (รอจังหวะและหาจุดเข้าที่ดีโอกาสกำไรสูง)

Stop  จุดยอมขาดทุน   (ตัดขาดทุนให้เร็ว)

Exit การขายทำกำไร   (มองหาเป้าหมายและความน่าจะเป็นของเป้าหมาย)
Tactics กลยุทธ์     (วางแผนดี มีวิธีเล่นอย่างเป็นระบบที่แน่นอน)

หลักที่สำคัญที่สุด จุดตัดขาดทุน  Cut loss เมื่อรู้ว่าแนวโน้มวิ่งผิดทาง
Cut loss เมื่อไม่เป็นไปตามระบบที่เราวางแผน
หลักการมองกราฟทางเทคนิคมองแบบ มีขึ้นและก็มีลง  ขึ้นแล้วลง  ลงแล้วก็ขึ้น 
คิดและวางแผนก่อนเริ่มการ ซื้อ-ขาย 
ซื้ออะไร ซื้อเท่าไหร่ ขายเท่าไหร่ ซื้อตอนไหน 
จุดหนี อยู่ตรงไหน(ยอมตัดขาดทุน) 
และจะขายทำกำไรเมื่อไหร่ 

ข้อคิดเตือนใจนักลงทุน
"ความผิดพลาดส่วนใหญ่เกิดจาก อารมณ์ ของเราทั้งนั่น"
"เมื่อมองตลาดยังไม่ชัดเจน ก็ควรลดน้ำหนักการลงทุนลง"
"เตรียมพร้อม วางแผนให้ดี รอบคอบ ระมัดะวัง อย่าคาดหวังมากเกินไป จนเกิดความเสี่ยง''

1. เลือกความเรียบง่ายมากกว่าความซับซ้อน
2. ฝึกความอดทน  (รอจังหวะที่ดี อย่ารีบ)
3. มีสติและควบคุมอารมณ์ได้
4. คิดอย่างอิสระ
5. ไม่สนใจ ไม่วอกแวกจากภาพรวมภายนอก
6. ไม่ลงทุนด้วยสัญชาตญาณ (คิดเอง เดาเองหรือเสี่ยงเล่นดู )
7. ฝึกการอยู่นิ่งๆ ไม่ซื้อขายมากเกินไป
8. เป็นนักฉวยโอกาสเมื่อตลาดมีสภาวะสดใส ชัดเจน
9. อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา (อย่าเข้าๆออกๆบ่อยเกินไป)
10. จงอยู่ในขอบเขตความรู้ของคุณ (มีความรู้แบบไหนก็ใช้วิธีเล่นแบบที่คุณรู้ )
11. จงตื่นกลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภและจงโลภเมื่อคนอื่นกำลังตื่นกลัว
12. อ่านและอ่านให้มากแล้วคิดให้ดี
13. อย่าทำพลาดแล้วเรียนรู้จากความผิดความของผู้อื่น
14. ก้าวสู้การเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้และ ฝึกที่จะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

กฏข้อใหญ่ๆมักจะพูดเสมอให้คิดเสมอๆ
การเข้าครั้งนี้จะไม่ขาดทุน (เพื่อเตือนสติให้ตัวเอง)
              รักษาเงินต้นไว้ให้ดี
              ควรทำอย่างไรจึงได้กำไร (หลักอะไรบ้าง วิธีใดบ้าง เวลา จังหวะ ความเหมาะสม)
              และควรเทรดอย่างไรให้เทรดได้ผลกำไรต่อเนื่อง สม่ำเสมอ

1.  อย่าพยายามเทรดในช่วงที่เราไม่รู้ 

     (ช่วงที่อ่านกราฟไม่ออก มองไม่ชัดเจน กราฟไม่สวย ไม่แน่ใจ...)

2.  อย่ารีบจนเกินไปและยื้อการขาดทุน 


     ( อย่าปล่อยให้ความโลภยืนเหนือเหตุผล และขาดทุนเพราะคิดว่าเดี๋ยวก็กลับมา)

3.  อย่าต่อต้าน แนวโน้มหลัก 


     ( กราฟมักจะมีแนวโน้มเสมอๆ ระยะสั้นๆอาจจะsideway แต่ระยะเวลามากขึ้นยังคงเป็นขาขึ้นอยู่..)  

4.  จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง 


     ( ทำอย่างไรเพื่อให้ขาดทุนน้อยลง ทำอย่างไรที่จะหาวิธีในการลงทุนที่สามารถทำกำไรได้ เรียนรู้ความผิดพลาด ตลาดสอนอะไรเรา ตัวไหนที่มักจะทำกำไรให้เราเสมอๆ หาเหตุและผล เพราะอะไร)            

5.  ทำการบ้านก่อนเทรดเสมอๆ จดและบันทึกลงสมุด 


     ( มองกราฟ วิเคราะห์กราฟจาก 1d --->4h--->1h--->30h--->15m ความสัมพันธ์เป็นยังไง เริ่มลงทุนควรเริ่มที่เท่าไหรก่อน ตามความเหมาะสมของ ลักษณะกราฟว่ามั่นใจแค่ไหน หลายๆ คนมักจะมองข้ามการจดบันทึก จดตัวที่เราสนใจจุดไหนน่าสนใจ ถ้าเข้าแล้วจุดไหนควรออกยอมตัดขาดทุน แนวรับแถวไหน แนวต้านแถวไหน มาถึงตรงนี้ถึงเข้าเลื่อนลงไปตัดขาดทุนทันที หลายๆคนมักมองข้ามแบบแผนนี้เสมอๆส่วนใหญ่มักเปิดกราฟแล้วเทรดเลย เป็น วิธีคิดที่หยาบเกินไป ยังไม่ละเอียดพอ)

6. มีสมาธิในช่วงนั่นๆ (เงินทำเงินควรตั้งใจและมีสมาธิ)


ลงทุนโดยใช้ Technical Analysis

ลงทุนด้วยความเรียบง่าย ชัดเจน อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน มองกราฟแบบง่ายๆ มองกราฟให้ออกก่อน แบบที่เราเข้าใจ มีแนวโน้ม ไม่ซับซ้อนเกินไป มองแนวรับ แนวต้านที่ชัดเจน(แข็งแกร่ง)

"เมื่อมองกราฟ แล้วคุณเข้าใจ"

อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน
บัฟเฟตต์ ให้แนวคิดค้นแนวทางสู่ความสำเร็จโดยลงทุนหุ้นที่ไม่ซับซ้อน โดยที่ตัวเขาเองไม่สามารถเข้าใจได้ หลักการที่ บัฟเฟตต์เรียนรู้จาก เบนจามิน เกรแฮม อาจารย์ของเขา คือ “คุณไม่จำเป็นต้องทำเรื่องยากๆเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเยียม”  “ทำให้ง่ายๆคือเป้าหมายของคุณ” นี่คือแก่นแท้ของปรัชญาการลงทุนแบบ บัฟเฟตต์ หลักการง่ายๆนี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

"ถ้าคุณไม่เข้าใจ มองกราฟไม่ออก
อย่าเข้าซื้อ-ขายเด็ดขาด"

วางแผน จดบันทึก และลากวาดเส้นลงบนกราฟ นำหลักการของ John Murphy มาต่อยอด

1. มองหาแนวโน้ม
ใน กราฟมีแค่ 3 แบบ ขาขึ้น ขาลง ด้านข้าง ใช้กราฟวิเคราะห์ราคาจากระยะยาวเมื่อมองภาพใหญ่จะเห็นว่าตลาดเป็นรูปแบบไหน ทำอะไรอยู่และจะมองภาพรวมตลาดได้ง่ายขึ้น

เมื่อมองภาพระยะยาว(กราฟวัน สัปดาห์ เดือน)แล้วจึงค่อยมามองภาพระยะสั้น(ระหว่างวัน) การไปดูกราฟระยะสั้นๆก่อนมักจะทำให้มองผิดพลาดได้ง่ายกว่า(เกิดการหลอก ของกราฟ)เพราแนวโน้มกราฟมักจะเดินทางตามกราฟระยะยาวเสมอๆ ดังนั่นถ้าคุณเป็นนักเทรดระยะสั้น วันต่อวัน นักเก็งกำไร คุณควร ซื้อ-ขาย ตามแนวโน้มระยะกลาง และระยะยาว

2. เดินทางไปกับแนวโน้มนั่นๆที่เกิดขึ้น  
พิจารณาแนวโน้มที่เกิดขึ้นว่าเป็นแบบไหนเมื่อรู้แล้วจึงเดินตามแนวโน้มทางนั้น แนว โน้มของตลาดจะมีทั้ง  ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว คุณต้องรู้ก่อนว่าคุณเป็นนักลงทุนประเภทไหน สั้น กลาง ยาว แล้วจึงเลือกกราฟให้เหมาะสม เมื่อถึงเวลาเทรดให้เทรดไปตามทิศทางแนวโน้มตามระยะเวลาที่คุณเลือก

''สำคัญ'' ซื้อเมื่อตอนที่ราคาลดต่ำลงมา(ลงมาปรับฐาน พักตัว ทำแนวรับ)ในแนวโน้มของเทรนขาขึ้น
            ขายเมื่อตอนที่ราคาดีดตัวขึ้นไป(ขึ้นมาปรับฐาน พักตัว ทำแนวต้าน)ในแนวโน้มของเทรนขาลง

ถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะกลางให้ใช้กราฟรายวัน รายสัปดาห์

ถ้าคุณเป็นนักลงทุน ซื้อ- ขายภายในวันเดียว ใช้กราฟวันและระหว่างวัน
อย่างไรก็ตามจะเลือกเทรดแบบไหน เราต้องดูกราฟที่ระยะยาวกว่าเพื่อดูแนวโน้มก่อน แล้วจึงใช้กราฟระยะเวลาที่เราต้องการเทรดสำหรับการซื้อ-ขาย

3. หาจุดต่ำสุดของราคาและจุดสูงสุดของราคา
รู้จุดต่ำสุด คือ แนวรับ จุดสูงสุด คือ แนวต้าน หาให้เจอ(แล้วขีดไว้กันลืม)
หาแนวรับและแนวต้าน
ตำแหน่งที่ดีที่สุดคือ ซื้อที่แนวรับ(ใกล้ๆแนวรับ) ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น
ตำแหน่งที่ดีที่สุดคือ ขายที่แนวต้าน(ใกล้ๆแนวต้าน) ในช่วงแนวโน้มขาลง

เมื่อ ราคาทำยอดสูงใหม่กว่าจากนั้นจะกลับมาเป็น(แนวรับ) เมื่อราคาวกกลับลงมาหรือเรียกว่า สูงเก่ากลายเป็นจุดต่ำใหม่ (ของแนวโน้มขาขึ้น)
เมื่อราคาทะลุจุดต่ำสุดจากนั้นจะดีดกลับมาเป็น(แนวต้าน) เมื่อราคาดีดตัวขึ้นไป เรียกว่า ต่ำเก่ากลายเป็นจุดสูงใหม่ (ของแนวโน้มขาลง)
ดูตัวอย่างรูป ขาขึ้น และ ขาลง

4. การปรับฐาน ราคาจะปรับฐานลึกแค่ไหน
การขึ้นก็ขึ้นเป็นรอบ ในรอบการขึ้นก็ต้องมีการปรับฐานเพื่อขึ้นต่อ
การลงก็จะลงเป็นรอบ ในรอบการลงก็ต้องมีการปรับฐานเพื่อลงต่อ
รอบการขึ้น รอบการลงมีการปรับฐานเหมือน คลื่น  
เราสามารถวัดการปรับตัวที่เกิดขึ้นได้ในสัดส่วนง่ายๆ
การปรับตัวที่ระดับ 50% ของแนวโน้มก่อนหน้าเป็นสิ่งที่พบเห็นบ่อยที่สุด
สัดส่วนที่น้อยที่สุดมักจะเป็นหนึ่งในสามของแนวโน้มก่อนหน้า(33.38%) ของการปรับตัวและมากที่สุดสองในสาม(66.66%)

สำหรับการปรับตัวตามตัวเลข Fibonacci คือ 38% และ 62%เป็นตัวเลขที่สำคัญของการปรับฐานหรือปรับตัวของราคา
เมื่อ เกิดแนวโน้มขาขึ้นหากจะซื้อควรรอการปรับฐานโดยดูตามระดับตัวเลข Fibonacci ที่สำคัญๆเพราะมักจะเป็น แนวรับที่สำคัญ เพื่อลงมาสะสมแรงแล้วไปต่อ  
ดูตัวอย่างรูป เตรียมลาก และ fibo@ จังหวะแรก fibo@2จังหวะที่สองของแนวโน้ม fibo@3จังหวะที่สามของแนวโน้ม

5. ลากเส้น(แนวโน้ม)
ลากเส้นแนวโน้ม เส้นแนวโน้มเป็นการมองและลากง่ายๆแต่ได้ผล สิ่งที่ต้องทำก็แค่ลากเส้นแนวโน้ม
ขาขึ้นของการลากก็จะมีการพักตัวในเส้นที่ลากแล้วขึ้นต่อ
ขาลงของการลากก็จะมีการพักตัวในเส้นที่ลากแล้วลงต่อ
จนกว่าจะมีการทะลุเส้นแนวโน้มนั่นๆได้มักจะเกิดสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มนั่นๆ
เส้น ที่ดีควรมีการแตะของราคาอย่างน้อยถึงสามครั้ง(ไม่ทะลุหลุดเส้น)  เส้นยิ่งยาวยิ่งดีบอกแนวโน้มนั่นแข็งแรง(ลากแล้วหลุดเร็วแสดงเส้นสั้น)
และยิ่งถูกทดสอบโดยการแตะที่เส้นมากเท่าไหร่(เหมือนสะสมแรง)ยิ่งเป็นนัยสำคัญที่ต้องพิจารณา
ดูตัวอย่างได้ที่ http://thailandinvestorclub.com/index.php?topic=5894.0 ปูพื้นฐานไว้ให้แบบชัดเจน และไปต่อยอดด้วย http://thailandinvestorclub.com/index.php?topic=7181.0 ฝึกลากบ่อยๆแล้วจะสามารถไปประยุกต์เองเป็นครับ

6. ใช้เส้นค่าเฉลี่ย
เส้นค่าเฉลี่ยจะให้สัญญาณในการซื้อ – ขาย บอกถึงแนวโน้มขณะนั้นยังเกิดขึ้นอยู่หรือว่าเปลื่อนแล้ว
เส้นค่าเฉลี่ยไม่ได้บอกแนวโน้มอนาคตว่าราคาจะไปทางไหนแต่ก็สามารถบอกถึงการเปลื่อนแนวโน้มได้ดีมากๆ
การใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นเป็นที่นิยมในการหาสัญญาณซื้อ-ขาย   ส่วนใหญ่จะนิยมใช้เส้น 4และ9วัน  9และ18วัน หรือ 5และ20วันเป็นต้น
สัญญาณจะเกิดขึ้นเมื่อตัดกันขึ้นซื้อ ตัดกันลงมาขาย
การใช้เส้นค่าเฉลี่ย40วันเพื่อหาจุดซื้อ-ขายก็เป็นสัญญาณที่ดีอีกตัวหนึ่ง
และเนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยเป็นตัวหาแนวโน้ม ดังนั้นจะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อตลาดมีแนวโน้มชัดเจน
ตัวอย่างรูป เส้นค่าเฉลี่ย 40 วัน (sma40)

สามารถ ลากจากไหนก็ได้ชอบแบบที่ราคาเปิดปิด หรือ ชอบลากแบบใส้เทียน ใช้แบบไหนก็ได้ครับฝึกดูไปเรื่อยๆครับ แต่เมื่อหลุดแล้วไม่เป็นไปตามทิศทางที่เรามองมีทางเดียวเลยครับ ยอมตัดขาดทุนแล้วเริ่มครั้งใหม่ ไม่มีระบบไหนถูกทุกครั้งครับ ทุกระบบถูกเลือกมาให้ถูกมากกว่าผิด แต่ระบบทุกระบบก็ต้องการทำตามอย่างมีวินัยสูงด้วยเช่นกัน การมีวินัยจะช่วยให้การเสียหายขาดทุนน้อย แต่ถูกทางจะกำไรมากเสมอๆครับไม่เชื่อลองมีวินัยดูครับ....

ข้อ สอง ระยะสั้น มีตัวpivot ที่ใช้ดูระยะ 15m ใช้ได้ดีในการเล่นหนึ่งวัน ส่วนระยะกลาง ระยะยาว ต้องลากมือเพื่อหาเป้าหมายหรือจะดูจาก แนวรับ แนวต้าน อดีตว่าเคยขึ้น ลงไปที่จุดไหนและอนาคตมักจะวิ่งที่พักตัวที่ระดับจุดที่อดีตเคยขึ้นมาถึง ลงมาถึงเช่นกันครับ

ข้อ สาม ส่วนใหญ่น่ะครับ พอมีแนวโน้มขึ้นหมดรอบขึ้นแล้วมักจะเกิดคลอเคลีย(sideway)หรือพักตัวก่อน เสมอแล้วมีแนวโน้มครั้งต่อไป  เปรียบ เสมือนการวิ่งครับเมื่อเราวิ่งมานานเราเหนื่อยเราก็ต้องพักก่อน เมื่อพักเราก็หายเหนื่อย(สะสมแีรงนั่นเอง) พอหายเหนื่อยเราจึงวิ่งต่อ สรุปแล้วเกิดแนวโน้มครบหนึ่งรอบแล้วพักเพื่อสะสมแรงแล้วจึงวิ่งครั้งต่อไป ครับ ราคาการขึ้นลงของกราฟก็มีอารมณ์และความรู้สึกเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตเช่น เดียวกันครับ เป็นไปตามธรรมชาติทั้งนั่นครับ ขยันมอง ขยันสังเกตุและขยันมีวินัยครับ เดี๋ยวก็เก่งครับ  

ฝึกให้ทานจนเป็นนิสัย ความโลภจากกำไรและควมโลภของการไม่กล้า stop loss จะหายไปเองว

ว่ากันด้วยออกแบบ "ระบบ''

ก่อน จะเริ่มวางระบบ อยู่ๆจะวางระบบเลยไม่ได้ พื้นฐานต้องมี มีความเข้าใจแล้วพอสมควร มองและแยกให้ออกว่า ระบบที่ดีนั่นต้องมีปัจจัยอะไรมาร่วมด้วย ที่จะทำให้ได้กำไร มากกว่าขาดทุน  

โดยจะเลือกมา 2 ระบบเพื่อใช้งาน  
โดยก่อนเริ่มระบบ เราจะสร้างเงือนไขให้กับระบบ กระบวนการคิดโดยการสร้างเงือนไข
เงือนไขโดย โดยมองแนวโน้ม และรอจังหวะ HH HL ผสมกับการเกิด break out  
ระบบแรก 1 2 3 4  ผสมกับการ HH HL  
ระบบที่สอง เส้น MA ตัดกัน ผสมกับ HH Hl และ break out
เมื่อเลือกมา 2 ระบบ โดยกำหนดที่จะเล่นที่ระดับ 5 m โดยวิเคราะห์ภาพ 1h 4h เป็นหลักแล้วมาเล่นสั้นโดยตามระบบ เงือน ไขโดย เล่นจบภายใน หนึ่งชั่วโมง ถึงระดับ สามชั่วโมง (โดยสามารถออกก่อน เมื่อบวกไปแล้วที่ระดับ 10-20 จุด )และปิด ก่อนครึ่งของทุนเพื่อลดความเสี่ยงเมื่อมาถึงระดับ แนวรับ แนวต้านก่อนจะถึงเป้าหมายที่เราตั้งไว้  

กำหนดช่วงที่จะเข้า ซื้อ ขาย โดยจบในวันนั่น โดยที่เริ่มตามระบบเมื่อเวลา 12.00-16.00 ภาคบ่ายรอบแรกของการตามระบบ
                                                             รอบต่อไป ช่วงเวลา 19.00-23.00 4 ภาคค่ำ 
เงือน ไขของรอบเวลา โซนยุโรปและอเมกา เพื่อต้องการแรงหนุนของการซื้อ ขายให้มีวอลลุ่มแล้วตามระบบในช่วงโซนเวลานั่นๆ(ในช่วงมีแรง ซื้อ ขายตามโซนตลาด)
โดยทำตามวินัยทุกครั้งของระบบ  

กรณีศึกษาเพื่อไปใช้กับระบบของตัวเอง

โดยระบบแรก 1 2 3 4  
โดยมองระยะ 1h ยังสามารถอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นได้
มาตามระบบในระยะสั้น 5m 
ระบบที่ 2 โดย ใช้หลัก MA เส้นค่าเฉลี่ยตัดกัน
โดยในระบบ จะใช้เส้น ระหว่าง 50 กับ 8  SMA แบบง่ายๆ
ทำไมต้องใช้สองเส้นนี้ จังหวะเข้าที่ไม่ต่ำเกินไป และจุดออกได้จุดออกที่ดี คือมองภาพระบบแล้ว เป็นระบบที่ กำไร มากกว่า ขาดทุน

เมื่อ เราเห็นแล้วว่า เมื่อวางแผนได้ ระบบ แล้ว เราจะเข้าใจในการเทรด รู้ที่ไป ที่มาว่าทำไมต้องเข้า ออก และเป็นวินัยการลงทุนที่แท้จริง ไม่ใช้ลงทุนแบบการพนัน
...แล้ววันนี้คุณมีระบบกันแล้ว หรือ ยัง...
---
แนะนำโบรคสำหรับมือใหม่ เทรดด้วยทศนิยม 5 จุด
รับโบนัส 25% ทุกครั้ง โบรกเกอร์สำหรับคนทุนน้อย ด้วย Leverage 1:1000
Automatic withdrawals ถอนได้ทันทีแบบ real time
Spreads starting ต่ำ
ดูรายละเอียดโปรคแนะนำคลิกที่นี่ดูรายละเอียดโปรคแนะนำคลิกที่นี่


http://lenhune.blogspot.com/2013/08/blog-post.html