นักลงทุนหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินเครื่องมือ การลงทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือกลุ่มเเรก (เป็นเครื่องมือที่ความเสี่ยงต่ำ เเต่ในขณะเดียวกันผลตอบเเทนก็ต่ำลงไปด้วย)
เครื่องมือกลุ่มเเรก
(เป็นเครื่องมือที่ความเสี่ยงต่ำ เเต่ในขณะเดียวกันผลตอบเเทนก็ต่ำลงไปด้วย)
1. ฝากธนาคาร ---> ความเสี่ยงต่ำ เเต่ผลตอบเเทนที่ได้รับก็จะต่ำไปด้วย ประมาณ ไม่เกิน 2%
2. พันธบัตรรัฐบาล
---> มีความปลอดภัยสูง ผลตอบเเทนประมาณ 5% เเต่การที่จะได้รับ
ผลตอบเเทน 5% ตามที่ระบุในคูปองนั้น
เราอาจจะต้องถือไปจนครบอายุตามที่ระบุไว้ในพันธบัตร อาจต้องใช้เวลา 5-10 ปี
3.ประกันชีวิต
---> ดูเหมือนจะได้รับผลตอบเเทนเยอะ จริงๆเเล้ว
มากกว่าเงินฝากเพียงไม่มากเท่านั้น
เพราะส่วนใหญ่จะเอาเงินของเราไปลงทุนต่อในตราสารหนี้ หุ้นพื้นฐาน
และพันธบัตรรัฐบาล ต่ออีกทีหนึ่ง
ดังนั้นเมื่อคำนวณด้วยสูตรทางการเงินจะพบว่าได้ผลตอบเเทนสุทธิเพียงประมาณ
2.5-3.5% ต่อปีเท่านั้นเอง
เครื่องมือกลุ่มที่สอง (เป็นเครื่องมือให้ผลตอบเเทนพอสมควร เเต่ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นด้วย)
1. หุ้น ---> เราจะได้ผลตอบเเทน 2 ทาง คือจากเงินปันผล สำหรับหุ้นปันผล เเละจากการขึ้นลงของราคา โดยเฉลี่ยเเล้ว จะทำผลตอบเเทนอยู่ที่ 12-15% ต่อปี
2.ทองคำ
---> ราคาทองคำค่อยๆ ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จนหลายคนคิดว่าทองคำเป้นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนกว่าหุ้นด้วยซ้ำ
เเต่เมื่อไปศึกษาจากข้อมูลย้อนหลังก็จะพบว่า
จริงๆเเล้วทองคำยังให้ผลตอบเเทนที่น้อยกว่าหุ้นอยู่พอสมควรเลยทีเดียว
3.กองทุนรวมต่างๆ ---> ขึ้นอยู่กับชนิดของกองทุน เเละความสามารถในการบริหารกองทุนด้วย โดยรวมเเล้วผลตอบเเทนพอๆกับหุ้น
เครื่องมือกลุ่มสุดท้าย (เป็นเครื่องมือที่ให้ผลตอบเเทนสูง ถึง สูงมากเเต่ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นด้วยเป็นเงาตามตัว)
เรา จะเน้นพูดถึงเครื่องมือในกลุ่มนี้เป็นพิเศษ เนื่องจากหากเรารู้จักวิธีการใช้เครื่องมือนี้อย่างถูกวิธี ก็จะทำให้มีอิสรภาพทางการเงินอย่างง่ายดาย
1.ฟิวเจอร์ส
---> ตอนนี้ในประเทศไทย มีเเล้ว ที่ตลาด TFEX.co.th
ซึ่งจากการใช้เครื่องมือนี้ทำให้เรามีพลังในการลงทุน เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5
เท่าตัว เช่น ถ้าราคาหุ้นขยับ 10% อาจส่งผลให้ราคาฟิวเจอร์ขยับถึง 50%
ซึ่งด้วยผลของอัตราทดนี้ ทำให้มีผู้ที่ประสบความสำเร็จ
เเละร่ำรวยจากการใช้เครื่องมือตัวนี้อย่างมากมาย
ในไทยตอนนี้เปิดให้เทรดฟิวเจอร์สของหุ้นรายตัว ,
ฟิวเจอร์สของดัชนีหลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ทองคำ เเละสินค้าการเกษตรอย่างข้าว
ยางพารา เเละมันสำปะหลัง
2.ออปชั่น
---> ตอนนี้ในตลาดของประเทศไทย มีเพียงเเเค่ ออปชั่นกับดัชนี
เครื่องมือนี้ให้ผลตอบเเทนที่สูง มีการใช้กลยุทธ์ในการลงทุนที่หลากหลายมากๆ
พวกเฮดฟันด์ใหญ่ๆชอบใช้ออปชั่นในการลงทุน ทำให้ออปชั่น
เป็นเครื่องมือที่มีอานุภาพภาพมากๆ
นักลงทุนบางคนสามารถทำผลตอบเเทนจากการใช้กลยุทธ์ของออปชั่น ตั้งเเต่
100-5,000% ภายในเวลาเเค่เดือนเดียวเท่านั้น
ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ส่วนใหญ่ใช้ทั้งตลาดขาขึ้น ขาลง อยู่นิ่ง
เเละก็ผันผวน
เรียกว่าสามารถกำไรจากการลงทุนในออปชั่นได้ทุกสภาวะตลาดกันเลยทีเดียว
3.ค่าเงิน (Forex)
---> ในต่างประเทศ
มีผู้ประสบความสำเร็จจากการค้าค่าเงินเป็นจำนวนมาก
ที่ดังจนติด Forbes ก็คือ จอร์จ โซรอส
ตลาดค้าเงินถือว่าเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตลาดเปิดทำการ 24
ชั่วโมง 5 วัน จันทร์-ศุกร์ มีปริมาณการซื้อขายกันมากมายมหาศาลมากใน 1
วันดังนั้น Forex จึงเป็นช่องทางหนึงที่คนทั่วโลกเลือกที่จะเข้าลงทุน
กล่าวโดยสรุปคือ
การ
ที่เราจะเลือกเครื่องมือการลงทุน เเบบใดนั้นขึ้นอยู่กับว่า
เราต้องการผลตอบเเทนโดยเฉลี่ยเท่าไหร่
เราสามารถที่จะยอมรับความเสี่ยงได้เเค่ไหน เพราะการลงทุนเป็นเรื่องของ
ผลตอบเเทนและความเสี่ยง
Blog นี้จะเน้นเฉพาะเครื่องมือประเภท Forex เนื่องจากความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือ เราสามารถหาข้อมูลได้ไม่ยากนัก เเละก็มีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย Forex สามารถสร้างผลตอบเเทนการลงทุนได้อย่างมหาศาล อีกทั้งยังสามารถ Limit การขาดทุนได้อย่างดี เเต่ในไทยนั้นกลับยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก
บทความที่น่าสนใจ
Blog นี้จะเน้นเฉพาะเครื่องมือประเภท Forex เนื่องจากความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือ เราสามารถหาข้อมูลได้ไม่ยากนัก เเละก็มีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย Forex สามารถสร้างผลตอบเเทนการลงทุนได้อย่างมหาศาล อีกทั้งยังสามารถ Limit การขาดทุนได้อย่างดี เเต่ในไทยนั้นกลับยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก
บทความที่น่าสนใจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น